โฆษณา

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การเลือกซื้อจักรยานพับคลาสสิค


การเลือกซื้อจักรยานหรือจักรยานพับคลาสสิค
การเลือกซื้อจักรยานพับรื่องแรกที่สำคัญเลยคือความแน่นหนาของจุดพับครับ ก่อนซื้อลองจับรถตามตำแหน่งที่เป็นจุดพับได้ทั้งหลายว่ามีการคลอนตัวหรือไม่ จุดพับ "แข็งแรง" หรือเปล่า หากรู้สึกว่าคลอนตัวตั้งแต่แรกก็ไม่ควรนำมาใช้งานถ้ารู้สึกว่าทดลองขยับแล้วแน่นหนาดี ขั้นที่ 2 ที่ควรทำก็คือทดลองปั่นฯ ดูสักเล็กน้อย จักรยานพับบางคันเวลาปั่นฯ จะให้ความรู้สึกว่าหน้าไว บังคับการทรงตัวยาก เอามาใช้ปั่นฯ ทางยาวๆ แล้วจะ "เครียด" ได้ง่ายครับ หากลองปั่นฯ แล้วรู้สึกว่า "แปลกๆ" จักรยานคันนั้นก็ไม่เหมาะกับเราครับเรื่องที่ 3 ที่อยู่ในหัวข้อพิจารณาก็คือจักรยานพับที่รองรับผู้ใช้ได้หลายระดับความสูงมักจะต้องปรับสูง-ต่ำได้ทั้งแฮนด์และหลักอาน (เบาะนั่ง) ครับ รถรุ่นราคาต่ำบางคันแฮนด์จะปรับสูง-ต่ำไม่ได้ ซึ่งทำให้เหมาะสมกับบางระดับความสูงเท่านั้นเช่น คนสูงขับขี่ไม่สบายหรือไม่ก็กลับกันครับ

จักรยานจากอังกฤษบางยี่ห้อที่เป็นจักรยาน Classic ราคาแพงเช่น Brompton ก็เป็นแฮนด์แบบปรับสูง-ต่ำ ไม่ได้ แต่จะใช้วิธีเปลี่ยนแฮนด์เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้าของแทน เนื่องจากแนวคิดของรถจากอังกฤษไม่ได้รองรับผู้ใช้หลายคน / จักรยาน 1 คัน ตามปรกติมักมีเจ้าของคนเดียวเป็นทั้งเจ้าของและผู้ใช้งานครับถ้ามี Spec. ของจักรยานให้อ่านก็ลองดูว่าเขาระบุให้สามารถใช้ได้กับความสูงตั้งแต่เท่าใดถึงเท่าใด และรับน้ำหนักผู้ขับขี่ได้สูงสุดเท่าไร แต่ตามปรกติแล้วมักได้เฉียดๆ 100 กก. และความสูงระหว่าง 160 - 180 ซม.เป็นอย่างต่ำครับเรื่องที่ 4 ที่ต้องนำมาพิจารณาด้วยก็คือเรื่องการพับว่าสามารถพับได้ง่าย-คล่องแคล่วหรือพับ (ยุ่ง) ยาก ลองนึกภาพตัวเองกำลังยุ่งอยู่กับการพยายามพับรถจักรยานตรงบันใดทางขึ้นรถไฟฟ้าหรือริมถนนที่มีคนเดินขวักไขว่ซิครับ ยิ่งพับยากเท่าไรคุณก็ยิ่งวุ่นวายใจกับเวลาที่ผ่านไปจนกระทั่งแม้เวลาแค่ 1 หรือ 2 นาทีก็นานเหมือนเป็นชั่วโมงครับ


รถพับจากอเมริกายี่ห้อ Bike Friday ล้อ 16 นิ้ว รุ่น Tikit 8 เกียร์ ราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7 - 8 หมื่นบาท ใช้เวลาพับแค่ชั่วกระพริบตาหรือสะบัดมือ(พับ) ครับ เนื่องจากเป็นรถพับรุ่นเดียวที่ออกแบบให้มีกลไกเป็นสายสลิงภายในช่วยในการพับเร็วและกางออกเร็วเรื่องที่ 5 คือขนาดเมื่อพับแล้วครับ รถพับล้อ 16 นิ้วหรือเล็กกว่าได้เปรียบและเหมาะสมสำหรับพื้นที่ในเมืองเนื่องจากขนาดเมื่อพับแล้วมีมิติที่ไม่ใหญ่จนดูเหมือนเกะกะ รถพับทั่วๆ ไปเมื่อพับแล้วมักมีมิติไม่น้อยกว่า 50 X 50 X 50 ซม. หรือ ครึ่งลูกบาศก์เมตร หากอยากทราบความรู้สึกเปรียบเทียบเมื่อต้องใช้งานรถพับจริง ลองหากล่องกระดาษที่มีมิติประมาณนี้แล้วใส่น้ำหนักลงไปอย่างน้อย 10 กก. แบกหรือหิ้วขึ้นสถานนีรถไฟฟ้าหรือลงรถใต้ดินดูครับจักรยานพับที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในเมืองมักจะเน้นเรื่องน้ำหนักที่ "เบา" ไว้เป็นเรื่องแรกก่อนครับ จักรยานทั่วไป ที่น้ำหนักเบาๆ ส่วนมากก็มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 10 - 11 กก. แต่สำหรับจักรยานพับนี่ต้องทดลองของจริงด้วยการหิ้วกล่องกระดาษน้ำหนัก 10 กก. หรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คน้ำหนัก 5 กก. สัก 2 เครื่องขึ้นบันใดรถไฟฟ้าครับ แล้วคุณจะตัดสินใจได้เองกับ "น้ำหนัก" ของรถพับว่าหนักระดับใหนถึงจะเรียกได้ว่า "เหมาะสม"



Strida ล้อ 16 นิ้ว Single Speed น้ำหนักรวมประมาณ 10 กก. ราคาประมาณ 19,000 บาท Pacific Carry ME ล้อ 8 นิ้ว Single Speed น้ำหนักรวมประมาณ 8 กก. ราคาประมาณ 16,000 - 18,000 บาทจักรยานพับตัวถังเหล็กหรืออลูฯ Single Speed ทั่วๆ ไป จะมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 10 - 12 กก. ราคาอยู่ระหว่าง 3,500 - 10,000 กว่าบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อครับส่วนจักรยานพับมีเกียร์จะมีหลายราคา รุ่นที่ราคาแถวๆ 8,000 - 10,000 กว่าบาท มักมีน้ำหนักมากคือระหว่าง 13.5 - 16 กก. ครับ หากต้องการรุ่นที่น้ำหนักเบาก็จะมีราคาแพงขึ้นไประหว่าง 20,000 - 30,000 กว่าบาทครับหากต้องการหาจักรยานพับแบบมีเกียร์เอาไว้ใช้ในเมืองและไม่อยากได้จักรยานแบบเกียร์เดียว (Single Speed) อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับรถแบบมีเกียร์ที่ไม่ค่อยต้องการการดูแลรักษามาก (พัง-ทิ้งหรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ ถ้าไม่พังก็ยังใช้งานได้ดีไม่ต้องคอยปรับแต่ง) ก็ต้องหารถจักรยานประเภทเกียร์ดุม (Hub Gear) ครับ แต่อาจจะหาซื้อในแบบของใหม่ มือหนึ่งยากหน่อยนะครับ ส่วนมากมักจะเป็นจักรยานมือสองและก็มีน้ำหนักมากกว่าจักรยานแบบเกียร์เดียวเนื่องจากน้ำหนักของอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาครับ (เกียร์ดุม 3 เกียร์ ล้อ 20 นิ้วที่ผมใช้อยู่เป็นจักรยานตัวถังเหล็ก มือสอง น้ำหนัก 14 กิโลฯ ครับ)



เหตุผลที่จักรยานแบบมีเกียร์ไม่เหมาะกับพื้นที่ในเมืองใหญ่เนื่องจากว่า1. การใช้ความเร็วสูงไม่สามารถทำได้สะดวกและต่อเนื่อง จึงไม่ค่อยได้ใช้ความสามารถของเกียร์หรือเปลี่ยนเกียร์บ่อยนัก และระยะทางที่ใช้งานมักอยู่ในรัศมีไม่เกิน 10 - 15 กิโลฯ ซึ่งระยะทางขนาดนี้แม้ว่าจะใช้จักรยานแบบเกียร์เดียวก็อยู่ในวิสัยที่จะนำมาใช้งานได้อย่างสะดวก2. รถแบบมีเกียร์ (ภายนอก) จะมีปัญหาระหว่างทางได้ง่ายเช่นรถล้มหรือตีนผีไปชนกับเสาหรือกำแพงขณะพับและหิ้วเพื่อเดินทาง ซึ่งจะมีผลให้เกียร์รวนหรือเสียหายไม่สามารถใช้งานได้เท่านี้คงพอให้คุณมีหลักในการเลือกรถพับมากขึ้นอีกนิดหน่อยนะครับ ส่วนที่เหลือก็อยู่กับการตัดสินใจของคุณเองว่ารถแบบใดจะเหมาะกับความต้องการในการนำไปใช้งานของคุณครับ

คำแนะนำสำหรับการซื้อรถยนต์คลาสสิค



สิ่งที่ควรจะรู้เมื่อซื้อรถยนต์คลาสสิค


อันนี่จริง ๆ แล้วต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ด้วยนะครับแต่ผมจะเขียนไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้อนให้เพื่อน ๆ เอาไว้อ้างอิงได้บ้างนะครับ


ขั้นตอนแรกเลยต้องศึกษาข้อมูลของรุถรุ่นที่ท่านจะซื้อครับ ลองศึกษาดูข้อมูลเครื่องยนต์ ลักษณะภายนอก ราคา คร่าว ๆ อันนี้ลองเข้าเซ็คตาม internet ตามเว็บซื้อขายอันนี้ต้องดูให้เยอะ ๆ ครับลองเข้าไปสอบถามช่างหรือเพื่อน ๆ ที่เล่นรถเก่าผมว่าเค้ายินดีจะบอกเรานะครับ อย่าลืมถามว่าอะไหลหายากไหม หรือค่าแต่งแพงไหมเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ อีกอย่างต้องลองศึกษารุ่นที่ีคล้าย ๆกันว่ามันแตกต่างกับรุ่นที่เราต้องการหาตรงไหนบ้างดูว่าเค้าแปลงรถหรือปล่าวและที่สำคัญอีกอย่างหนึงคือ งบประมาณในกระเป๋าว่ามีซักเท่าไหร ต้องดูไปถึงค่าซ่อมในอนาตด ด้วยว่าเราสู้ไหวหรือปล่าว





การไปหารถที่จะซื้อครับมีหลายวิธี เช่นเข้าไปใน net ตามเว็บซื้อขาย แต่ค่อนข้างเสี่ยงเหมือนกันครับเท่าที่รู้มีการหลอกกันมากเหมือนกันครับเช่นโอนเงินไปให้แต่รถไม่มา บอกรถมีทะเบียนแต่จริง ๆ ไม่มี อื่น ๆ ครับมันเจ็บใจครับโดนหลอกบางทีไปแจ้งความก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนหรือปล่าวยากเหมือนกันครับ ทางที่ดีให้ส่งของแบบวัสดุเก็บเงินปลายทางอะครับค่อนข้างปลอดภัยถ้าไม่เป็นไปตามที่พูดไว้เราก็ไม่ต้องรับของครับ ถ้าผู้ขายไม่ยอมส่งแบบนี้ให้ ไมต้องซื้อครับ อย่าโลภครับคิดดี ๆ ครับตามเหตุตามผล หรือบางทีเราอาจเข้าไปขอซื้อตามร้านแต่งรถคลาสสิกครับมักจะมีคนน้ำมาฝากขายหรือไม่เจ้าของร้านแต่งขายเอง ถ้าเรารู้จักเพื่อนหรือเพื่อนของเพื่อนขายก็ลองดูได้ครับ อีกวิธีที่ค่อนข้างได้รถราคาถูกมากคือเข้าไปซื้อแถบชาญเมือง นอกเมืองครับ ส่วนใหญ่จะมีรถพวกนี้เป็นซากอยู่ครับเราไปขอซื้อได้ราคาถูกเลยแต่ต้องเอามาซ่อมอีก ลองคำนวญความคุ้มค่าครับ





หลังจากเราได้รถที่เราเล็งไว้แล้าให้ดูว่าเป็นรถแปลงหรือปล่าว เราต้องแต่งเพิ่มอะไรบ้างสภาพเหมาะสมกับราคาหรือปล่าวลองขับดูเสียงเครื่องยนต์ดูว่าแน่นหรือไม่ ผมแนะน้ำนิดนึงครับถ้าเราซื้อรถแบบแห้ง ๆ (คือยังไม่ได้แต่อะไร) ถ้าเราให้ช่างตีราคาแล้ว ให้เพื่อ ๆ เตรียมเงินไว้อีกส่วนครับผมเชื่อว่าจะมีค่าจุกจิกอีกส่วนหนึ่งแน่ ๆ ครับอันนี้มาจากประสบการณ์ตรง ผมแนะนำอีกนิดว่าถ้าเราซื้อรถที่แต่งเสร็จแล้วมักได้ราคาต่ำกว่าเราไปแต่งใหม่เอง แต่ก็ยังไม่เสมอไปถ้าเราทำใหม่เราจะมั่นใจในคุณภาพมากกว่า





เอาละคราวนี้เราจะมาถามคนขายกัน ถามว่ารถมีทะเบียนใหม่ โอนได้ไหม เลขเครื่องกับเลขตัวถังตรงกับในเล่มหรือปล่าว เลขตอกหรือปล่าว ขาดต่อกี่ปี เอาละถ้ารถไม่มีทะเบี่ยนให้ผู้ขายเขียนใบขายให้เรียบร้อย เขียนด้วยลายมือก็ได้ครับให้มีชื่อที่อยู่ผู้ขาย ลายเซ็นชื่อเราและมีพยานสัก 1-2 คนครับ อย่าลืมจดเลขเครื่องเลขตัวถังไว้ด้วยครับ แต่ถ้ามีเล่มแต่ซื่อไม่ตรง ก็ให้ขอเล่มเค้ามาด้วยแล้วทำใบซื้อขายตามข้างต้นครับ ให้เอาทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนของผู้ขายมาด้วยเซ็นสำเนาถูกต้อง ถ้าโอนไม่ได้ ต้องระวังนะครับ รถหายก็แจงความไม่ได้ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็ไปเอาคืนไม่ได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของรถ แต่บางทีก็มีวิธีแก้ครับถ้าโดนจับเหมือนจับหมวกกันน๊อกให้ใบขับขี่ไปครับ หรือเข้ากับชมรมที่เค้ามีป้ายทะเบียนก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง







ถ้าโอนได้ต้องเตรียมหลักฐานดังต่อไปนี้ 1) สำเนาบัตรประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านอย่างละ 2 ชุด เป็นอย่างน้อยให้เซ็นสำเนาถูกต้องด้วย จากเจ้าของที่มีชื่อในเล่มทะเบียน 2) ใบโอนให้เจ้าของเซ็น สัก 2 ชุด ใบเปลี่ยนเครื่องยนต์ถ้าเปลี่ยน เปลี่ยนสี 3) ใบมอบอำนาจ ให้เจ้าของเซ็นด้วย 2 ชุด (เอกสารต่าง ๆ ให้ไปขอที่ขนส่ง จะดีกว่าครับ) กรณีที่ต้องเตรียมมา 2 ชุดไว้เวลาเราต้องการย้ายทะเบียนมาจังหวัดเราด้วย แต่เราสามารถย้ายปลายทางได้เลย ถ้าพาเจ้าของไปโอนด้วยก็ดีครับอันนี้ไม่ต้องมีใบมอบอำนาจ หลังจากโอนแล้วรถก็เป็นของเรา ก็ต้องไปหาร้านซ่อมครับผม




ที่มา http://www.psuclub.com/board/viewtopic.php?t=355